อาหารคลีนเป็นอย่างไร
อาหารคลีนเป็นอย่างไร
อาหารคลีนคืออาหารที่ผ่านการดัดแปลงจากเดิมน้อยที่สุด ถ้าไม่ดัดแปลงเลยได้ยิ่งดี และเป็นอาหารที่มีความสดและสะอาด อาหารคลีนที่มีจุดประสงค์ก็คือ ลดน้ำหนัก ลดหุ่นให้ดีขึ้น ซึ่งปราศจาก ไกลจากโรคภัยต่างๆ ซึ่งควรมีลักษณะดังนี้
- ปรับตัวให้เข้ากับการทานอาหารคลีน ไม่ยึดติดรสชาติอาหารแบบเดิมๆ
- เลือกอาหารที่สดใหม่อยู่เสมอ
- เวลาเลือกซื้อสินค้าเดินให้ทั่ว หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปในตู้แช่
- ลดปริมาณน้ำตาลลง
- เน้นการดื่มน้ำเปล่าให้มาก หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำอัดลม ชานมไข่มุก เพราะจะทำให้ท้องผูก
- ชวนเพื่อนๆ มานั่งทานอาหารคลีนด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน
- จัดอาหารที่ทานให้มีความสมดุล แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ 4 หรือ 6 มื้อ ต่อวัน ห้ามอดอาหาร โดยเฉพาะอาหารเช้า
- เลือกทานแป้งได้ตามเหมาะสม โดยหันมาใช้แป้งข้าวกล้อง แป้งข้าวโอ๊ต แทนแป้งขาวขัดสี ซึ่งควรเน้นผักและผลไม้สด เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
- รู้จักสังเกตส่วนผสมให้มากขึ้น ควรอ่านฉลากสินค้าว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง
- อย่าเน้นไปที่การคำนวณแคลลอรี่ ควรเลือกทานอาหารให้ครบตามที่ร่างกายต้องการ อย่าไปใส่ใจในตัวเลข
ประโยชน์ของการนอนหลับ
ประโยชน์ของการนอนหลับ
การนอนหลับเป็นการพักผ่อนร่างกาย เปรียบเหมือนชาร์ตพลังงานหลังจากที่เราเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน ถ้าเราไม่ได้นอนหลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียเหนื่อยล้า ร่างกายจะเตรียมพร้อมรับการโรคต่างๆ เข้ามา ร่างกายของคนเราควรได้รับการพักผ่อนเต็มที่อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง ทางที่ดีควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายสดชื่นและพร้อมกับการทำงานวันใหม่
-
การนอนหลับจะช่วยให้คุณมีสุขภาพดี ก่อนอื่นต้องบอกว่าอาการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ความดันต่ำ เบาหวาน ได้ เพราะร่างกายคุณพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ฮอร์โมนทำงานผิดปกติจึงทำให้ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อได้ง่าย เพราะฉะนั้นถ้าอยากแข็งแรงต้องพยายามนอนให้หลับพอเพียงและพยายามออกกำลังกาย 3-5 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30-40 นาที ก็จะทำให้คุณนอนหลับฝันดีแน่นอน
-
การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยทำให้คุณเฉลียวฉลาดขึ้น เมื่อคุณหลับสมองก็ยังเต็มไปด้วยข้อมูลมากมายที่คุณกักเก็บมาทั้งวัน และเพื่อให้คุณจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดี การนอนหลับอย่างเต็มที่จะช่วยทำให้คุณไม่ลืมสิ่งต่างๆ ที่สำคัญยังทำให้คุณเข้าใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ มีไหวพริบปฏิภาณเร็วขึ้นนั่นเอง
- สร้างเคมีหนุ่มสาว ปกติแล้ว เคมีหนุ่มสาวที่เรียกว่า “โกรทฮอร์โมน” จะค่อย ๆ ลดลงตามวัย รวมทั้งการนอนดึกก็ทำให้โกรทฮอร์โมนน้อยลงไปด้วย แต่ถ้าเราเข้านอนเร็ว สักราว 4 ทุ่ม สมองจะช่วยผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ สรุปว่ายิ่งเราหลับไว หลับสนิท เราก็ยิ่งดูอ่อนเยาว์นะ
- ความจำดีขึ้น การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำ, สมาธิและอุบัติเหตุมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง ดังนั้น ต้องนอนให้เต็มอิ่มจะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ ๆ
- คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็วจะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีวิวิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อน ช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน
- ร่างกายเหมือนกับเหล็กที่ต้องสึกหรอ คนก็เหมือนเครื่องยนต์ ทำงานมาหนักก็ต้องหยุดพักบ้างจริงไหม ซึ่งการนอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมรถ ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลายตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง
พฤติกรรมที่ช่วยให้นอนหลับ
- งดอาหารและเครื่องดื่ม เรามักจะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ เพื่อให้คลายร้อน หรือเพื่อต้องการเจริญอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม
– คาแฟอีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกาแฟ น้ำชา น้ำอัดลม chocolate ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองให้ตื่น การออกฤทธิ์ของกาแฟอาจจะนานถึง 12 ชั่วโมงดังนั้นเมื่อดื่มกลางวันอาจจะส่งผลถึงการนอนในเวลากลางคืน การตอบสนองต่อกาแฟสำหรับผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกันคนที่ดื่มมากจะไม่ค่อยมี ผลส่วนคนที่ไม่เคยดื่ม อาจจะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ คุณสามารถทดสอบว่ากาแฟมีผลต่อการนอนหรือไม่โดยการงดกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ มีส่วนผสมของกาแฟอิน 2-3 สัปดาห์แล้วดูผลต่อการนอนหลับว่าดีขึ้นหรือไม่
– แอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์กดการทำงานของสมองทำให้หลับง่าย แต่แอลกอฮอล์ก็ทำให้ตื่นกลางคืนบ่อยคุณภาพในการนอนไม่ดี ให้หยุดดื่มสักระยะหนึ่งเพื่อดูว่าการหลับดีขึ้นหรือไม่
– อาหารที่รับประทานก็อาจจะมีผลต่อการนอนหลับ การรับประทานอาหารเผ็ดหรือรสจัด หรือปริมาณมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการแน่นท้องเวลานอน โดยเฉพาะเวลานอนราบจะทำให้อากรแน่นท้องเป็นมากขึ้นดังนั้นควรหลีกเลี่ยง ปัจจัยดังกล่าว
– หลีกเลี่ยงยาที่อาจจะทำให้นอนไม่หลับ
– ไม่ควรดื่มน้ำช่วงใกล้เข้านอนมาก และไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัด - การออกกำลังกาย หากเปลี่ยนการดื่มกาแฟตอนบ่ายให้เป็นการออกกำลังกายในตอนบ่ายแทน เช่นการเดินเร็วๆ การวิ่ง หรือการขี่จักรยาน รวมทั้งการออกกำลังแบบ aerobic และการยกน้ำหนัก การออกกำลังในช่วงดังกล่าวจะทำให้นอนหลับง่ายขึ้นใช้เวลาน้อยในการเริ่มหลับ การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้นคือหลับได้สนิทเพิ่มขึ้น
- หลีกเลี่ยงบุหรี่ การสูบบุหรี่จะทำให้หลับยาก ตื่นบ่อย และฝันร้าย เนื่องจากผลของ nicotin เมื่อหยุดสูบบุหรี่ใหม่ๆอาจจะมีปัญหาในการหลับ แต่เมื่อหยุดบุหรี่ได้ก็จะหลับดีขึ้นและสุขภาพดีขึ้น
- การอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่น การอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่นทำให้การหลับดีขึ้นอาจจะเนื่องจากเมื่ออกจากน้ำอุ่นทำให้อุณหภูมิลดลง ส่งสัญญาณว่าถึงเวลานอนหลับ ดังนั้นการอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้หลับดีขึ้น
สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ
- ขี้เหล็ก นับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่นำมาปรุงอาหารช่วยให้นอนหลับสบาย ขับถ่ายสะดวก เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย นิยมนำมาทำแกงขี้เหล็ก คนภาคเหนือ-อีสาน มักแกงใส่ย่านาง ส่วนภาคกลาง-ภาคใต้นิยมแกงใส่กะทิ ส่วนที่นำมาใช้ปรุงเป็นอาหารควรเลือกส่วนยอดจนถึงใบอ่อน และดอก ในใบขี้เหล็กมีเบต้าแคโรทีนสูง ทั้งดอกและใบต่างมีสรรพคุณช่วยระงับประสาท บำรุงประสาท ช่วยให้นอนหลับ ช่วยในการระบาย และบำรุงสายตาด้วย
- มะรุม เป็นพืชผักสมุนไพรอีกชนิดที่ออกฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับ ช่วยระบาย นิยมใช้ฝักอ่อนมาแกงส้ม ใช้ยอดอ่อนลวกจิ้มน้ำพริกหรือแกงส้ม มะรุมเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคสูงมาก ได้มีการนำใบ
มะรุมมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูลบริโภคอย่างแพร่หลาย บริโภคเป็นอาหารเสริมหรือโฆษณาชวนเชื่อจนนึกว่ามะรุมเป็นยาวิเศษ การบริโภคมะรุมให้เลือกยอดอ่อนหรือใบเพสลาดเท่านั้น เพราะถ้าเป็นใบแก่จะสะสมสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ใบแก่ส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้หมักกับดินระหว่างเตรียมแปลงเพาะปลูกจะช่วยฆ่า เชื้อราในดินได้ ในใบมีโปรตีนและแคลเซียมสูงจึงมีรายงานว่าใช้เป็นยาประสะน้ำนม และเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กขาดสารอาหาร
- รากบัว ไหลบัว รวมถึงเกสรดอกบัว ต่างนำมาปรุงเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้ มีรายงานทางวิชาการว่าสารสกัดจากรากบัวช่วยให้นอนหลับ สรรพคุณของรากบัว ไหลบัวช่วยบำรุงให้เจริญอาหาร ช่วยให้ประสาทสงบ บำรุงน้ำดี แก้ท้องร่วง และเกสรดอกบัว ช่วยให้ดวงจิตแช่มชื่น บำรุงหัวใจ
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสมุนไพรที่นำมาปรุงเป็นชาหรือน้ำสมุนไพรดื่ม อาทิ ชาถั่วดาวอินคา บำรุงประสาท บำรุงน้ำดี ชาชุมเห็ดไทยเลือกเอาส่วนที่เป็นเมล็ดมาใช้ โดยการนำมาคั่วให้หอมก่อนแล้วนำไปชงเป็นชาดื่ม ช่วยให้นอนหลับดี แก้กระษัย ขับปัสสาวะพิการได้ดี เป็นยาระบายอ่อน ๆ รักษาโรคผิวหนังใบเตย บำรุงหัวใจช่วยให้สดชื่น และ เก๊กฮวย ช่วยให้ประสาทสงบ ช่วยในการระบายอ่อน ๆ และแก้ร้อนในกระหายน้ำ
คุณค่าของเห็ด อาหารคลีนสำหรับลดน้ำหนัก
คุณค่าของเห็ด อาหารคลีนสำหรับลดน้ำหนัก
เมื่อเราพูดถึงเห็ดแล้ว เราจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งเห็ดมีหลากหลายชนิดและเป็นอาหารที่หลากหลายที่นิยมรับประทานกันเป็นอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เพราะเห็ดเป็นอาหารประเภทปราศจากไขมัน และมีกากใยสูง
เห็ด (Mushroom) เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีมาช้านานและ ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดสดหรือเห็ดตากแห้ง รวมทั้งชนิดบรรจุกระป๋องด้วย และเห็ดทั้งในประเทศและ ต่างประเทศมีอยู่มากมายหลากหลายสายพันธุ์เลยทีเดียว แต่หลักๆแล้วจะมีการจำแนกกลุ่มของเห็ดออกเป็น 3 กลุ่มคือ – เห็ดชนิดที่รับประทานได้นิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเพื่อสุขภาพกัน อาทิ เห็ดนางฟ้า, เห็ดฟาง, เห็ดหูหนู, เห็ดนางรม, เห็ดโคน, เห็ดเข็มทอง ฯลฯ – เห็ดที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีสรรพคุณทางยา อาทิ เห็ดหอม หรือเห็ดหลินจือ ฯลฯ – เห็ดพิษที่ไม่สามารถรับประทานได้และอาจถึงแก่ชีวิตได้ อาทิ เห็ดระโงกหิน, เห็ดจิก, เห็ดจวักงู, เห็ดสน, เห็ดหมึก, เห็ดหิ่งห้อย ฯลฯ
ลักษณะของเห็ด
นักจุลชีววิทยานั้นจะถือว่าเห็ดนั้นจัดเป็นเชื้อราชั้น สูงชนิดหนึ่ง แต่สำหรับนักเกษตรแล้วกลับมองว่าเห็ดเป็นพืชชั้นต่ำ เพราะไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งเห็ดนั้นจะมีการเพาะพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์ ทำให้เกิดเป็นกลุ่มใยราจนกระทั่งเจริญเติบโตขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งมีสีสัน และรูปร่างของดอกเห็ดตามแต่ละชนิดของสายพันธุ์เห็ดต่างๆ ซึ่งเห็ดนั้นจะมีส่วนประกอบหรือโครงสร้างดังนี้ – หมวกเห็ด คือ ส่วนที่อยู่บนสุดของเห็ด ซึ่งมีรูปร่างและสีสันแตกต่างกันออกไป – ก้านเห็ด คือ บริเวณที่ติดเป็นเนื้อเดียวกับดอกเห็ด ซึ่งคอยรองรับดอกเห็ดให้ชูขึ้นด้านบน – ครีบเห็ด คือ บริเวณที่ทำให้เกิดสปอร์ มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ อยู่ตรงใต้หมวกเห็ด – วงแหวน คือ บริเวณที่เกิดจากเนื้อเยื่อบางๆ ที่ยึดระหว่างก้านดอกกับขอบหมวกเห็ดขาดออกจากหมวกเห็ดเมื่อบาน – เยื่อหุ้มดอกเห็ดหรือเปลือก คือ บริเวณส่วนที่อยู่ด้านนอกสุดที่ทำหน้าที่หุ้มหมวกเห็ดและก้านไว้ เมื่อยังเป็นดอกอ่อนอยู่ และจะเริ่มปริหรือแตกออกเมื่อดอกเห็ดเริ่มขยายหรือบานออก แต่ยังคงมีเยื่อหุ้มอยู่บริเวณโคนของเห็ด เพราะเป็นส่วนที่ไม่ได้มีการขยายตัวออก – เนื้อเห็ด คือ ส่วนที่อยู่ภายในของหมวกเห็ด ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใย เปราะ เหนียว และนุ่ม
สรรพคุณของเห็ดแต่ละชนิด
-
เห็ดหอม เห็ดหอมเป็นเห็ดสายพันธุ์ที่ไม่เป็นพิษ แต่ไม่ควรบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป เราใช้เห็ดหอมสำหรับการบำรุงตับ ลดการขยายตัวของเนื้องอก ใช้บริโภคได้ทั้งเห็ดหอมสดและเห็ดหอมแห้ง โดยมีภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า การปรุงเห็ดสามอย่าง เช่น เห็ดผัดสามชนิดมารับประทาน จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
- เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือเป็นเห็ดที่ มีพิษน้อยมาก แต่ต้องกินในปริมาณที่จำกัด เราใช้เห็ดชนิดนี้ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยขับเสมะ และช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย เห็ดชนิดเป็นเห็ดสายพันธุ์ขึ้นชื่อของประเทศจีน ที่นำมาใช้ปรุงยาตามตำหรับแพทย์แผนจีน ปัจจุบันได้ถูกนำมาสกัดเป็นยาเม็ดชนิดแคปซูล โดยผู้ผลิตอ้างว่าเป็นยาอายุวัฒนะประเภทหนึ่ง หรือใครจะนำเห็ดหลินจือมาตำให้เป็นผงแล้วผสมกับแอลกอฮอล์ดื่มก็ได้ โดยแอลกอฮอล์ที่ใช้ ต้องเป็นเอทิลแอลกอฮอล์ หรือแอลกอฮอล์ประเภทเดียวกันกับเหล้าเท่านั้น จะใช้ผสมกับเมทิลแอลกอฮอล์หรือแอลกอฮอล์เช็ดแผลไม่ได้ เพราะจะทำให้ตาบอด
-
เห็ดเข็มทอง เห็ดเข็มทองนั้นเป็นเห็ดที่ค่อนข้างแปลก เพราะตัวมันถ้ายังดิบจะเป็นพิษ แต่ถ้าปรุงสุกและผ่านความร้อนแล้วจะมีไม่พิษ เป็นเห็ดที่คนนิยมนำมาประกอบอาหารอีกชนิดหนึ่ง หากใครบริโภคเห็ดเข็มทองเข้าไปแล้ว ตัวเห็ดจะช่วยบรรเทาโรคที่เกี่ยวกับตับ และช่วยลดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย (ขอบคุณที่มา : “เห็ด” อาหารมหัศจรรย์)
การทำลาบเห็ด
วันนี้ทีมงาน thaisamunpaifood.com การทำลาบเห็ดที่มีรสชาดแซ่บสุดๆ ซึ่งมีเครื่องปรุงดังนี้ครับ
- พริกป่น
- ข้าวคั่ว
- น้ำมะนาว
- น้ำปลา
- น้ำตาลทราย
- หอมแดงซอย
- ต้มหอมซอย
- ผักชีฝรั่งซอย
- น้ำเปล่า
- ใบสะระแหน่
- แตงกวา ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ใบโหระพา
- เห็ด 3 ชนิด
วิธีปรุง
- ตั้งกระทะสำหรับรวนเนื้อด้วยไฟปานกลาง ใส่หมูสับลงไป เติมน้ำเปล่า แล้วรวนหมูจนสุก
- ใส่เห็ด 3 อย่าง ที่เตรียวไว้ลงไป (ชอบทานเห็ดชนิดไหนเลือกตามความชอบเลยจร้า…)ปรุงรสด้วย รสดี คนต่อจนเห็ดสุก ตักใส่ภาชนะเพื่อเตรียมจะปรุงเครื่องลาบ
- จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงที่เตรียวไว้(พริกป่น ข้าวคั่ว หอมแดงซอย ต้นหอม ผักชีฝรั่ง น้ำตาล น้ำปลา มะนาว ) แล้วจึงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
สรรพคุณบร็อคโคลี่ เมนูอาหารคลีนเหมาะสำหรับลดน้ำหนัก
สรรพคุณบร็อคโคลี่ เมนูอาหารคลีนเหมาะสำหรับลดน้ำหนัก
บร็อคโคลี มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทางตอนใต้ของยุโรป แถว ๆประเทศอิตาลี และภายหลังได้มีการนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย โดยแหล่งที่ปลูกบร็อคโคลี่มากที่สุดในบ้านเราก็คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ กาญจนบุรี และกรุงเทพ โดยต้นบร็อคโคลี่นั้นจะมีลักษณะเป็นทรงพุ่มใหญ่เก้งก้าง ลำต้นใหญ่และอวบ ลักษณะของดอกมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 16 เซนติเมตร จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มช่อหนาแน่นมีสีเขียวเข้ม ส่วนลักษณะของใบจะกว้างมีสีเขียวเข้มออกเทา ริมขอบใบหยัก ตามปกติแล้วเราจะนิยมบริโภคในส่วนที่เป็นดอกและในส่วนของลำต้นจะนิยมรองลงมา แต่คุณค่าทางอาหารกลับมีอยู่มากในส่วนของลำต้น ดังนั้นการรับประทาน บร็อคโคลี่ทั้งสองส่วน ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดนั่นเองจากการศึกษาวิจัยของมหาลัย อิลลินอยส์พบว่าการรับประทานบร็อคโคลี่ โดยเฉพาะหน่อหรือต้นอ่อนของบร็อคโคลี่นั่น เมื่อรับประทานร่วมกับต้นอ่อนของบร็อคโคลี่จะช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เกือบ 2 เท่า เนื่องจากในหน่อหรือต้นอ่อนบร็อคโคลี่นั้นมีเอนไซม์ไมโรซิเนส (Myrosinase) จะมีปริมาณมากกว่าต้นบร็อคโคลี่ที่โตแล้ว ซึ่งการรับประทานบร็อคโคลี่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจะต้องไม่ผ่านกรรมวิธี การปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานจนเกินไป เพราะจะไปทำลายเอนไซม์ไมโรซิเนสและซัลโฟราเฟนได้
สรรพคุณของบร็อคโคลี่
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา (ซีลีเนียม)
- ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน เรื่องจากบร็อคโคลี่เป็นผักที่มีแคลเซียมสูง
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยสามารถ
- ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
- ผักในตระกูลกะหล่ำ มีความสัมพันธ์กับการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองได้ (Strokes)
- ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรงยิ่งขึ้น
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคปอดร้ายแรง จากงานวิจัยของ ดร.ชีแอม บิสวัล (วิทยาลัยแพทยศาสตร์จอห์นส ฮอฟกินส์ USA) พบว่าสารในบร็อคโคลี่อาจช่วยยับยั้งการทำลายที่นำไปสู่ไปการเป็นโรคปอดร้าย แรง หรือที่เรียกว่าโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้ (Chronic Obsructive Pulmonary Disease หรือ COPD) โดยโรค COPD มักมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ โดยสารซัลโฟราเฟนในบร็อคโคลี่จะช่วยส่งเสริมให้ยีน NRF2 ในเซลล์ปอดเกิดกิจกรรมเพิ่มขึ้น จึงช่วยป้องกันเซลล์ดังกล่าวไม่ให้ถูกทำลายจากสารพิษต่าง ๆในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ได้ และผู้ป่วย COPD ระยะก้าวหน้าจะมีการทำกิจกรรมกับยีน NRF2 ในระดับต่ำกว่ากลุ่มอื่น โดยยีนดังกล่าวจะทำหน้าที่เปิดให้กลไกหลายอย่างเพื่อขับพิษและสารก่อพิษต่าง ๆทำงาน เพื่อไม่ให้สารพิษทำลายเซลล์ปอด
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
- สารซัลโฟราเฟนสามารถช่วยป้องกันการทำลายของหลอดเลือดที่เกิดจากโรคเบาหวานได้มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
- ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่ามีเพียงผักผลไม้ 5 ชนิดเท่านั้นที่มีารประกอบที่ทำหน้าที่คล้ายยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งได้แก่ บร็อคโคลี่ ส้ม แอปเปิ้ล หัวไชเท้า และมันฝรั่ง โดยบร็อคโคลี่นั้นเป็นผักที่มีสารดังกล่าวมากที่สุด
- ช่วยป้องกันความผิดปกติของเด็กแรกเกิด
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันเนื่องจากบร็อคโคลี่มีวิตามินซีที่สูงมาก
- บร็อคโคลี่มีส่วนช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลง เนื่องจากเป็นผักที่มีแมกนีเซียมสูง
- สารซัลโฟราเฟนในบร็อคโคลี่ เป็นตัวช่วยทำให้ตับขับสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบร็อคโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียง 3 วัน
- ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
- บร็อคโคลี่มีสารเคอร์เซทิน (Quercetin) ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มความอึด แรงดี ออกกำลังได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหอบหืด ภูมิแพ้ มะเร็ง โรคหัวใจได้อีกด้วย
- การรับประทานบร็อคโคลี่จะช่วยป้องกันและลดการลุกลามของโรคมะเร็งกระเพาะ ปัสสาวะ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีแนวโน้มการแข่งตัวอย่างรวดเร็ว (งานวิจัยของคุณหมอ Steven Schwartz มหาวิทยาลัย Ohio State University เมือง Columbus)
- ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขข้อ
- บร็อกโคลี่มีโฟเลตสูง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากการพิการทางสมองของเด็กรารก
- ผักบร็อคโคลี่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น บร็อคโคลี่ผัดกุ้ง ผัดหมี่ ซุป พิซซา พาสต้า เสต็ก สลัด ยำ ฯลฯ หรือจะนำมาใส่กับข้าวผัด ผัดซีอิ้ว ราดหน้า ผัดมักกะโรนีก็ได้เช่นกัน
เมนูผัดผักบร็อคโคลี่ใส่กุ้ง
เครื่องปรุง
วิธีทำ
- ตั้งกระทะให้ร้อน เจียวกระเทียมกับน้ำมันให้มีกลิ่นหอม
- ใส่เนื้อกุ้งตามลงไปโดยที่ยังไม่ต้องสุกมาก ต่อด้วยบล็อคโคลี่
- ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย และพริกไทย ผัดส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ตักเสิร์ฟ พร้อมรับประทาน
ข้อควรระวัง
ขั้นตอนแรกของการนำส่วนผสมต่างๆลงผัดนั้นไม่ควรรีบผัดให้กุ้งสุกจนเกินไป เพราะอาจทำให้กุ้งแข็งและไม่อร่อยได้
อ้างอิง:
http://frynn.com
ท้องผูกเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีวิธีแก้อย่างไร
ท้องผูกเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีวิธีแก้อย่างไร
อาการท้องผูกจะเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้าแล้ว โดยปกติคนเราต้องขับถ่ายช่วงเวลาระหว่าง 5.00 – 7.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ทำงาน เมื่อเลยเวลาช่วงนี้ไปแล้ว จะทำให้อุจจาระเหล่านั้นจะถูกดูดน้ำย้อนกลับไป ทำให้ถ่ายลำบาก เป็นก้อนแข็ง บางรายที่เป็นมากๆ อาจต้องใช้สมุนไพรช่วยขับถ่าย หรือทานอาหารที่ช่วยขับถ่าย
สาเหตุการเกิดท้องผูก
- ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบโดย เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ท้องผูก เริ่มตั้งแต่เรื่อง “กิน” ที่หลายคนไม่ชอบทานผักผลไม้ ชอบทานแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน หรือแป้งมากเกินไป โดยเฉพาะแป้งจำพวกข้าวสาลีที่ผ่านกระบวนการแปรรูป จะยิ่งย่อยยาก กินแล้วทำให้ท้องอืด ท้องผูก หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมทั้งยังเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย วัน ๆ นั่งทำงานอยู่กับที่ แทบไม่ได้ขยับตัวไปไหน ก็ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อย ส่งผลให้อาการท้องผูกตามมา
- การใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียง เช่น เช่น ยาคลายเครียด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาแก้ความดันสูง ยาลดกรด รวมทั้งอาหารเสริมจำพวกธาตุเหล็ก และยาแก้ปวดที่มีสารประกอบโคเดอีน (codeine) ทำให้การย่อยอาหารช้าลง มีผลให้เกิดอาการท้องผูก
- มีโรคประจำตัว อาการท้องผูกอาจเป็นอาการหนึ่งของโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ เช่น โรคเบาหวาน หรือมีก้อนเนื้องอก มีมะเร็งอุดกั้นลำไส้ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถ่ายอุจจาระลำบาก กระทั่งท้องผูกได้เหมือนกัน
การแก้อาการท้องผูก
- ทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ถั่ว ฟักทอง ลูกพรุน ข้าวโพด แอปเปิล ฝรั่ง มะละกอ เม็ดแมงลัก เป็นต้น เพื่อจะช่วยเพิ่มเส้นใยการขับถ่าย โดยอาหารที่มีกากมากจะต้านทานการย่อยของน้ำย่อยที่จะไปดูดน้ำภายในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวขับถ่ายอุจจาระได้รวดเร็ว แนะนำให้ทานใยอาหาร 20-30 กรัมต่อวัน
- หากรู้สึกปวดอุจจาระให้เข้าห้องน้ำทันที อย่ากลั้นไว้ เพราะยิ่งรอนาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก
- หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และทำงานได้ดีขึ้น เมื่ออวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ก็จะไปส่งผลให้ลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นตามไปด้วย ทำให้อาหารส่งผ่านไปได้สะดวก หากนั่งนิ่งอยู่เฉย ๆ ลำไส้ไม่ได้เคลื่อนไหว กากอาหารเหล่านั้นก็จะยิ่งแข็งค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้ง่าย ทั้งนี้ หากไม่มีเวลามาก แนะนำให้เดินออกกำลังกายสัก 20-30 นาทีก็พอจะช่วยให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหวแล้ว
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ เราคงเคยได้ยินคนแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องอื่น ๆ แล้ว การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ยังช่วยไม่ให้ท้องผูกด้วย เพราะน้ำจะไปช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลงได้
- งดดื่มน้ำอัดลม กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง
- หากรู้สึกอยากจะอุจจาระ ไม่ควรกลั้นไว้ ให้รีบเข้าห้องน้ำไปถ่ายออกทันที เพราะจะทำให้เพิ่มอาการท้องผูกขึ้นได้
- ยาระบาย หรือยาถ่าย สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะไม่ได้ช่วยรักษาอาการท้องผูกให้หายขาด แต่กลับยิ่งทำให้ร่างกายไม่ถูกกระตุ้นให้ขับถ่ายตามเวลาที่ควรจะเป็น เพราะลำไส้จะชินต่อยากระตุ้นพวกนี้ หากมีอาการท้องผูกขึ้นมาอีกก็ต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อย ๆ
อาหารที่แก้ท้องผูกได้
- มะขามเปียก นำมาขยำกับน้ำสุกประมาณ 3 แก้ว จะได้น้ำมะขามข้น ๆ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนกาแฟ แล้วดื่มให้หมดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ถ่ายง่าย หรือหากไม่ได้ท้องผูกมาก ๆ ก็นำมะขามเปียกแกะเมล็ดแล้วมาจิ้มเกลือกินสัก 5-10 ฝัก แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ช่วยได้
- ลูกพรุนแห้ง ให้รับประทานทั้งผล เพื่อจะได้กากอาหาร หรือดื่มเป็นน้ำลูกพรุนก็ได้ โดยควรรับประทานทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรทานมากเกินไป หรือทานบ่อยเกินไป เพราะถึงแม้จะมีกากใยมาก แต่ก็มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง
- เม็ดแมงลัก ตักออกมาสัก 2 ช้อนชา แช่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซีซี) ให้พองตัวเต็มที่ แล้วค่อยดื่มช่วงก่อนนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เพราะเม็ดแมงลักมีเมือกหล่อลื่น ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว แต่อย่างไรก็ตาม
ต้องรอให้แมงลักพองตัวเต็มที่เท่านั้นจึงทานได้ หากเม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่แล้วเราทานเข้าไป เม็ดแมงลักจะไปดูดน้ำจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อุจจาระแข็งและอุดตันเกิดอาการท้องผูกมากขึ้น
- กล้วยน้ำว้าสุก เป็นผลไม้ที่มีสารเพ็กตินสูง ช่วยเพิ่มกากอาหาร และยังมีเมือกลื่นทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ควรทานทุกวัน ๆ ละ 2-4 ผล ซึ่งเป็นยาระบายอ่อนๆ
- ขี้เหล็ก ขี้เหล็กเป็นสมุนไพรมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นเหมาะสำหรับผู้สูงอายุซึ่งมักจะนอนไม่หลับ รับประทานอาหารไม่ได้ และมีอาการท้องผูก ให้นำใบอ่อนหรือดอกตูมมาประกอบอาหารรับประทาน หรือจะนำใบขี้เหล็ก 4-5 กำมือ มาต้มกับน้ำพอท่วม แล้วดื่มก่อนนอนก็ได้
อ้างอิง:kapook.com
มะรุมสมุนไพรช่วยระบาย
มะรุมสมุนไพรช่วยระบาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Moringa oleifera Lam.
ชื่อสามัญ : Horse radish tree, Drumstick
วงศ์ : Moringaceae
ชื่ออื่น : กาเน้งเดิง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ผักเนื้อไก่ (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ผักอีฮึม ผักอีฮุม มะค้อนก้อม (ภาคเหนือ) เส่ช่อยะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ยืนต้นสูง 3-6 เมตรหรือใหญ่กว่าเปลือกสีขาว รากหนานุ่ม ใบสลับแบบขนนก 2 หรือ 3 ชั้น ยาว 20-60 ซนติเมตร ใบชั้นหนึ่งมีใบย่อย 8-10 คู่ ใบแบบรูปไข่รูปไข่หัวกลับรูปคู่ขนาน ใต้ใบสีเขียวอ่อน ใบอ่อนมีขนสีเทาขนาดใบยาว 1-3 เซนติเมตร ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือขาวอมเหลืองแต้มสีแดงเข้าที่ใกล้ฐานด้านนอกยาว 1.4-1.9 เซนติเมตรกว้าง 0.4 เซนติเมตรปลายกลีบดอกกว้างกว่าโคน 4 กลีบ ตั้งตรง เกสรตัวผู้แยกจากกันสมบูรณ์ 5 อันไม่สมบูรณ์ 5 อันเรียงสลับกันมีขนสีขาว ที่โคนอับเกสรสีเหลืองเกสรตัวเมีย 1 อัน ผลยาวเป็นฝัก 3 เหลี่ยม เมล็ดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร 3 ปีก
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก
สรรพคุณของมะรุม
มะรุมจัดเป็นพืชผักพื้นบ้านของไทยซึ่งเป็นพืชผักสมุนไพรโดยมีต้นกำเนิดใน แถบทวีปเอเชีย อย่างประเทศอินเดีย และศรีลังกา โดยเป็นไม้ยืนต้นที่โตเร็ว ปลูกง่ายในเขตร้อน ทนแล้ง สามารถรับประทานได้ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น ฝัก ใบ ดอกเมล็ด ราก เป็นต้น แต่ถ้านำมาใช้เป็นยาสมุนไพรนั้นจะใช้เกือบทุกส่วนของต้นมะรุมรวมทั้งเปลือก ด้วย
มะรุมอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวมหลายชนิด ซึ่งจุดเด่นของมะรุมก็คือจะมีวิตามินเอ ซี แคลเซียม โพแทสเซียม และธาตุเหล็กในปริมาณที่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ของมะรุมในการรักษาโรคได้หลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรจะมองว่ามะรุมเป็นยามหัศจรรย์ที่ใช้ในการรักษาโรค แต่ควรจะมองมันเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์กับร่างกายเสียมากกว่า เพราะการศึกษาหลายอย่าง ๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย
มะรุม ในส่วนของใบมะรุมควรรับประทานใบสด ๆที่ไม่แก่มากหรืออ่อนเกินไป และไม่ควรถูกความร้อนนานเกินไป เพื่อให้ได้ประโยชน์ของสารอาหารอย่างเต็มที่ ซึ่งการใช้ใบนำมาประกอบอาหารสิ่งที่ต้องระวังก็คือไม่ควรให้เด็กทารกในวัย เจริญเติบโตถึง 2 ขวบรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปเพราะใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูง หรือเด็กที่อายุ 3-4 ขวบควรรับประทานแต่เพียงเล็กน้อย และไม่ว่าจะวัยไหนก็ตามก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสียได้ (ไม่ได้เกิดกับทุกคน) ควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย
คำเตือนสำหรับผู้ที่ใช้มะรุมเป็นเวลานานๆ
มีการ รายงานความเป็นพิษของมะรุมในระดับเซลล์และในสัตว์ทดลองว่า
สารสำคัญ4 (alpha-L-rhamnosyloxy) phenylacetonitrile จากเมล็ด แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ใน Micronucleus test
สารสกัดน้ำจากใบ หรือ 90% เอ ทานอล ในขนาด 175 มก./กก. ของน้ำหนักแห้ง เมื่อป้อนให้หนูแรทที่มีการผสมพันธุ์ สามารถทำให้เกิดการแท้งได้
สารสกัดน้ำของรากขนาด 200 มก./กก.น้ำหนักตัว เมื่อให้กับหนูแรท จะเหนี่ยวนำให้เกิดทารกฝ่อ (foetal resorption) ในการตั้งครรภ์ระยะสุดท้าย
สารสกัดเมล็ดด้วย0.5 M borate buffer มีผลทำให้เม็ดเลือดแดงของกระต่ายรวมตัวกัน
เมื่อให้หนูแรทกินผงของเมล็ดดิบที่แก่ของมะรุม โดยไม่จำกัดจำนวนเป็นเวลา 5 วัน พบว่าทำให้ความอยากอาหาร การเจริญเติบโตและการใช้โปรตีนลดลง ขนาดของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ตับอ่อน ไต หัวใจ และตตตสนวสรผเดกฟปปปอปปปอดใหญ่ขึ้น ในขณะที่ต่อมไทมัส และม้ามมีลักษณะฝ่อลง โดยเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบ
การทดสอบความเป็นพิษโดยให้หนูเม้าส์กินส่วนราก หรือฉีดสารสกัดไม่ระบุชนิดตัวทำละลายเข้าใต้ผิวหนัง ในขนาด 10 ก./กก. น้ำหนักตัว ไม่พบความเป็นพิษ
การทดลองในสัตว์เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่มีประโยชน์เพื่อการทำวิจัยต่อยอดไป ยังการทดลองในมนุษย์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวทำละลายที่นักวิจัยใช้ในการสกัดจะมีทั้งน้ำ และแอลกอฮอล์ เพื่อให้สะดวกต่อการป้อนสัตว์ทดลอง ซึ่งข้อมูลข้างต้นเป็นความรู้ที่จะทำให้สามารถหาส่วนสกัดที่มีสารสำคัญได้ หากจะรับประทานใบ เนื้อในฝัก หรือดอกมะรุม ซึ่งเราใช้เป็นอาหารมานานแล้วเพื่อการรักษาโรค ก็อาจทำได้แต่อย่าหวังผลมากนัก และไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก หรือติดต่อกันนานเกินไป ซึ่งอาจมีการสะสมสารบางอย่างและอาจเป็นพิษได้ และจากรายงานความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง ซึ่งพบว่าทำให้เกิดการแท้ง ดังนั้นควรระมัดระวังการใช้ส่วนต่างๆ ของมะรุมในสตรีมีครรภ์
สรรพคุณของมะรุม
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม ไม่ให้หยาบกร้าน
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยในการชะลอวัย (น้ำมันมะรุม)
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
- ช่วยรักษาโรคขาดสารอาหารในเด็กแรกเกิดถึงอายุ 10 ขวบ
- ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกาย (ฝัก)
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง (ใบ,ดอก,ฝัก,เมล็ด,เปลือกของลำต้น)
- ช่วยรักษาโรคมะเร็งในกระดูก
- ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้อาการแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้น
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย
- ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง
- มะรุม ลดความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบ,ฝัก)
- ใช้รักษาโรคหัวใจ (ราก)
- มะรุม ลดน้ำตาล ช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยรักษาความสมดุลของระดับน้ำตาล
- ใช้รักษาโรคหอบหืด (Asthma) (ยาง)
- ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคที่ต่ำลงของผู้ป่วยเอดส์
- ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย (ดอก)
- ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ราก)
- ช่วยคุมธาตุอ่อน ๆ (เปลือกของลำต้น)
- แก้ลมอัมพาต (เปลือกของลำต้น)
- ใช้ขับน้ำตา (ดอก)
- ใช้บำรุงสุขภาพและรักษาดวงตาให้สมบูรณ์
- ช่วยรักษาโรคตาได้เกือบทุกโรค อย่าง โรคตาต้อ ตามืดมัว เป็นต้น
- ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคโพรงจมูกอักเสบ
- น้ำมันมะรุมใช้นวดศีรษะ ฆ่าเชื้อชาบนหนังศีรษะ แก้อาการคันหนังศีรษะ ลดผมร่วง (น้ำมันมะรุม)
- ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ใบ,น้ำมันมะรุม)
- ใช้แก้ไข้ และถอนพิษไข้ (ใบ,ยอดอ่อน,ฝัก,เมล็ด)
- ใช้แก้อาการไข้หัวลม หรืออาการไข้เปลี่ยนฤดู (ดอก)
- ช่วยบรรเทาและรักษาอาการหวัด (เมล็ดมะรุม)
- ช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรังให้ดีขึ้น (เมล็ดมะรุม)
- ช่วยบรรเทาอาการและลดสิวบนใบหน้า (น้ำมันมะรุม)
- ช่วยลดจุดด่างดำจากแสงแดด (น้ำมันมะรุม)
ใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (ใบ)
- ช่วยแก้อาการปวดฟัน (ยาง)
- ช่วยแก้อาการปวดหู (Earache) (ยาง)
- น้ำมันมะรุมใช้หยอดหูเพื่อป้องกันและฆ่าพยาธิในหู รักษาโรคหูน้ำหนวก เยื่อบุหูอักเสบ
- ช่วยรักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษ
- ช่วยรักษาแผลในปากหรือแผลจากโรคปากนกกระจอก
- นำเปลือกของลำต้นมาเคี้ยวกินเพื่อช่วยย่อยอาหาร (เปลือกของลำต้น)
- ช่วยขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ (เปลือกของลำต้น)
- เปลือกของลำต้นมีสรรพคุณช่วยในการคุมกำเนิด (เปลือกของลำต้น)
- ช่วยบำรุงและรักษาปอดให้แข็งแรง และรักษาโรคปอดอักเสบ
- เมล็ดมะรุมวันละ 1 เมล็ดก่อนนอน ช่วยให้การขับถ่ายในตอนเช้าเป็นไปอย่างปกติและสม่ำเสมอ (เมื่อขับเป็นปกติแล้วควรหยุดรับประทาน)
- ใช้รักษาโรคลำไส้อักเสบ อาการท้องเสีย ท้องผูก
- ช่วยรักษาและขับพยาธิในลำไส้ (เมล็ดมะรุม)
- ช่วยในการขับปัสสาวะ(ใบ,ดอก)
- ช่วยแก้อาการอักเสบ (ใบ)
- ช่วยรักษาโรคไขข้อ (Rheumatism) (ราก)
- ช่วยบรรทาอาการของโรคเก๊าท์ บ้างก็ว่าสามารถใช้รักษาโรคเก๊าท์ได้
- ช่วยรักษาโรคกระดูกอักเสบ
- ช่วยรักษาโรครูมาติซั่ม
- ช่วยบำรุงและรักษาโรคตับ ไต
- น้ำมันมะรุมใช้นวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อตามบั้นเอวและขา
- น้ำมันมะรุมใช้นวดเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ
- ใช้แก้อาการปวดตามข้อ (เมล็ด)
- แก้อาการบวม (ราก,เมล็ด)
- ช่วยลดอาการผื่นคันตามผิวหนัง และการแพ้ผ้าอ้อมของเด็กทารก (น้ำมันมะรุม)
- ช่วยรักษาบาดแผล แผลสดเล็ก ๆน้อย ๆ (ใบ,น้ำมันมะรุม)
- ช่วยถอนพิษและลดอาการปวดบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย (น้ำมันมะรุม)
- ใช้เป็นยาปฏิชีวนะ
- ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (ใบ,ดอก)
- ใช้รักษาเชื้อราตามผิวหนัง ศีรษะ ตามซอกเล็บ โรคน้ำกัดเท้า (น้ำมันมะรุม)
น้ำมันมะรุมใช้ทารักษาหูด ตาปลา
- ช่วยรักษาโรคเริม งูสวัด
- ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ต้านจุลชีพ
- ช่วยฆ่าเชื่อไทฟอยด์ (ยาง)
- ช่วยรักษาโรคซิฟิลิส (syphilis) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง (ยาง)
- การรับประทานมะรุมในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ของเด็กทารก
- ฝักมะรุมนำมาใช้เป็นไม้ตีกลองได้เหมือนกันนะ โดยเฉพาะในแถบอินเดีย
- ใบสดนำมารับประทานได้ ส่วนใบแห้งนำมาทำเป็นผง
- เมล็ดบางครั้งนำมาคั่วรับประทานเป็นถั่วได้
- เมล็ดมะรุมเมื่อนำมาบดละเอียดสามารถนำไปใช้กรองน้ำได้ทำให้น้ำตกตะกอนและฆ่าเชื้อโรคในน้ำ น้ำที่ได้จะค่อนข้างสะอาดและมีรสออกหวาน
- น้ำมันที่จากการคั้นเมล็ดสด นำมาใช้เป็นน้ำมันในการปรุงอาหาร
- น้ำมันมะรุมนำมาใช้ในการปรุงอาหารชนิดเดียวกับน้ำมันมะกอก แต่ดีกว่าตรงที่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืนในภายหลัง
- น้ำมันมะรุมนำมาใช้เป็นน้ำยาหล่อลื่นต่าง ๆประจำบ้าน และช่วยป้องกันสนิม
- ประโยชน์มะรุมนิยมนำมะรุมไปทำเป็นอาหารเพื่อรับประทานเป็นผักอย่าง แกงส้ม แกงลาว แกงอ่อม แกงกะหรี่ ยำฝักมะรุม ส่วนดอกมะรุมลวกรับประทานกับน้ำพริก ส่วนยอดอ่อน ใบอ่อนนำไปต้มสุกรับประทานร่วมกับแจ่ว ลาบ ก้อย
- นำมาแปรรูปเป็น “มะรุมแคปซูล” สำหรับเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผัก แต่อยากได้คุณประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
- นำมาสกัดเป็นน้ำมันมะรุม ซึ่งมีคุณประโยชน์ที่หลากหลาย
อ้างอิง:
http://frynn.com
http://www.rspg.or.th
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th